ศธ.ระดมกึ๋นแก้ปัญหาวิกฤติการศึกษาชาติจากพื้นฐานถึงอุดมฯ ขั้นพื้นฐาน ให้ปรับหลักสูตร ลดเนื้อหาวิชาซ้ำซ้อนกันถึง 30% เพิ่มกิจกรรมในชั่วโมงเรียน "จุรินทร์" นั่งตัดสินความสารพัดปัญหา สรุปให้ครูสังกัด สพฐ.มีส่วนร่วมออกข้อสอบโอเน็ต สอน "สทศ.-สพฐ" ต้องจูนความคิดช่วยกันทำให้เด็กไทยคิดวิเคราะห์เป็น
จากการประชุมเชิงนโยบายเพื่อระดมความคิดเรื่องการพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพื่อพัฒนาคุณภาพเด็กและเยาวชนไทย ครั้งที่ 2 จัดโดยสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ที่โรงแรมดุสิตธานี จ.ชลบุรี ระหว่างวันที่ 17-18 ต.ค. โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธาน ซึ่งจากนี้องค์กรหลักจะต้องไปดำเนินการตาข้อสรุปที่ได้ทั้งหมด และนำมาเสนอเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนตามนโยบายต่อไป
โดยที่ประชุมได้หารือกันหลายประเด็น โดยประเด็นที่เกี่ยวกับหลักสูตรและการเรียนการสอน ได้ข้อสรุปชัดเจนว่าการสอนแบบท่องจำยังมีความจำเป็น แต่ต้องสอนให้เด็กรู้จักคิดวิเคราะห์มากขึ้น โดยต้องปรับใน 3 ส่วน คือ หลักสูตรการเรียนการสอน ครูผู้สอน และสื่อการเรียนการสอน ซึ่งในเรื่องหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ที่จะใช้เต็มรูปแบบในปีการศึกษา 2553 นั้น ที่ประชุมเห็นว่าเนื้อหาหลักสูตรยังมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ และในหลักสูตรต้องสอนให้เด็กมีความรู้ ในวิชาที่เรียนแล้วยังต้องสอนให้เด็กสามารถคิดหาความหมาย คิดสร้างสรรค์ คิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา ในภาวะวิกฤติได้ รวมทั้งต้องมีคุณลักษณะ 3D ตามนโยบายของ ศธ.ด้วย ซึ่งตนจะมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทบทวนหลักสูตรดังกล่าวว่า ส่วนใดยังมีความซ้ำซ้อนอยู่หรือมากเกินความจำเป็นที่เด็กต้องเรียนหรือไม่ และควรเพิ่มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนให้มากขึ้นซึ่งอาจจะต้องปรับตารางสอน นอกจากนี้ จะต้องมีการอบรมพัฒนาครูและผู้บริหารสถานศึกษาในการทำให้เด็กคิดและ วิเคราะห์เป็น รวมถึงการวัดผลก็ต้องสอดคล้องกันด้วย โดย ศธ.จะสนับสนุนสื่อการสอน ทั้งนี้ตนจะให้ระยะเวลา 1 เดือน ในการทบทวนหลักสูตรดังกล่าว
อย่างไรก็ตามที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นว่าหลักสูตรมีเนื้อหาเกินความจำเป็นที่ เด็กต้องเรียน และหลักสูตรในระดับประถมศึกษา มีความซ้ำซ้อนกันถึงร้อยละ 30 โดยนางสิริพร บุญญานันต์ อดีตรองเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้เสนอให้ยกเลิกการบรรจุวิชาการงานพื้นฐานอาชีพในระดับประถมฯ
สำหรับประเด็นระบบการสอบของแบบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) แบบทดสอบวัดความถนัดทั่วไป (GAT) และแบบทดสอบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ (PAT) ที่ประชุมได้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยได้มีการอภิปรายเรื่องปัญหาการทำคะแนนโอเน็ตไปใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากนั้น รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศธ. ยังมีข้อเสนอว่า สทศ.ควรนำเฉลยข้อสอบโอเน็ตรวมถึงคำอธิบายคำตอบขึ้นสู่เว็บไซต์ สทศ.ด้วย เพราะนอกจากจะทำให้นักเรียนทุกคนเข้าถึงคำเฉลยได้อย่างเท่าเทียมกันแล้ว จะถือว่าเป็นการให้การศึกษาแก่เด็กด้วย เพื่อไม่ให้เด็กต้องไปเอาคำตอบจากสถาบันกวดวิชา โดยนายจุรินทร์กล่าวว่า ในการออกข้อสอบโอเน็ตนั้นที่ผ่านมา สทศ.ใช้อาจารย์จาก รร.สาธิตของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีครูจากสังกัดอื่นๆ มาร่วม ส่งผลให้การออกข้อสอบโอเน็ตของ สทศ.ออกตามแนวการจัดการเรียนการสอนตลอดจนแบบเรียนของรร.สาธิต แต่ปัญหาคือ รร.ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดยังทำไม่ได้ดังที่ รร.สาธิตสอน จึงเปรียบเหมือนเป็นเป้าโหน และเกิดปัญหาเด็กมุ่งกวดวิชาเพื่อทำคะแนนให้ได้สูงทั้ง สพฐ. และ สทศ.ต้องปรับด้วยกันทั้งคู่ ในส่วนของ สพฐ.ก็ต้องปรับเน้นการสอนให้เด็กคิดและวิเคราะห์เป็นมากขึ้น ในขณะที่ สทศ.เองก็ต้องไปหาคำตอบว่าแต่ละวิชา มีการแบ่งสัดส่วนการออกข้อสอบระหว่างท่องจำและคิดวิเคราะห์กี่เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนของ รร.ในสังกัด สพฐ. ทั้งนี้ สทศ.ควรรับข้อเสนอของ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ ที่เสนอให้นำเฉลยข้อสอบโอเน็ตเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของ สทศ.
ที่ประชุมบางส่วนแสดงความเห็นคัดค้านกับการจัดสอบ GAT ม.3 ในปีการศึกษา 2553 โดยเห็นว่าควรต้องแจ้งให้เด็กทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมตัวก่อน และมีข้อเสนอให้สอบ GAT และ PAT เพียงปีละ 1 ครั้ง ขณะที่ด้าน ศ.ดร.อุทุรพร จามรมาน ผอ.สทศ.กล่าวว่า ผลการประชาพิจารณ์ที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่ต้องการให้มีการสอบ 3 ครั้งเหมือนเดิม แต่ทั้งนี้เรื่องนี้เป็นอำนาจตัดสินใจของที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) สำหรับผลสอบโอเน็ตนักเรียนระดับ ป.6 ม.3 และ ม.6 โดยเฉลี่ยมีความรู้น้อยกว่าร้อยละ 50 ทุกวิชา เนื่องจากเด็กไม่ตั้งใจสอบ ไม่ได้เกิดจากเด็กไม่มีความรู้ ดังนั้นขอเสนอให้ รมว.ศธ.นำผลสอบโอเน็ตไปใช้ประโยชน์มากขึ้น อาทิ เป็นส่วนหนึ่งของการจบ ป.6 ม.3 และ ม.6 ในสองลักษณะ คือ 1.ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของคะแนนโอเน็ต ก็จะไม่จบหรือนำไปรวมกับคะแนนจาก รร.ก่อนตัดสินการจบ 2.นำไปเป็นส่วนหนึ่งก่อนการตัดเกรด 3.นำคะแนนโอเน็ตไปเป็นองค์ประกอบหนึ่งเพื่อพิจารณาคัดเลือกนักเรียนในชั้น ที่สูงขึ้น คือ ป.6 ขึ้น ม.1 และ ม.3 ขึ้น ม.4 เป็นต้น ส่วนการเฉลยข้อสอบโอเน็ตนั้น สทศ.ได้ทำคำเฉลยข้อสอบโอเน็ต แต่ทั้งนี้ผู้อำนวยการสถานศึกษาจะต้องทำเรื่องขอมา และเราจะจัดส่งไปให้ฟรี แต่คำอธิบายของคำเฉลยนั้น สทศ.ถือว่าเป็นหน้าที่ของ รร.ที่จะต้องอธิบายนักเรียนให้ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของ สทศ. และสำหรับข้อเสนอให้ครู รร.ในสังกัด สพฐ.มาร่วมออกข้อสอบโอเน็ตนั้น สทศ.ยินดี โดยขณะ สทศ.ได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการ กพฐ.เพื่อให้คัดเลือกครูวิชาละ 5 คน พร้อมประวัติการทำงานของแต่ละคนเสนอมายัง สทศ.ภายในวันที่ 30 พ.ย.
ขอบคุณ
http://www.thaipost.net/news/191009/12436